ไม่รู้ว่ามีใครอยากจะอ่านกันหรือเปล่า ว่าเส้นทางความเป็นมาที่เราได้ไปตามหาความฝันและเจอมันจริง ๆ นี่เป็นยังไง สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาปกติ ใคร ๆ ก็ไปดูคอนเสิร์ตกัน ใคร ๆ ก็ไปเมืองนอกกัน ใคร ๆ ก็ได้เจอศิลปินกัน แต่สำหรับเรา มันเป็นความฝันที่ตั้งหน้าตั้งตาฝันมาตลอดหลายปี ตอนอายุ 20 เคยคิดว่าซักวันอยากจะไปดูแมนิคส์ที่เมืองนอกซักครั้ง (ไม่หวังจะดูเมืองไทย) ด้วยฐานะแบบคนเดินดินกินข้าวแกง ก็ยากนะ ไปเมืองนอกยังไม่รู้จะได้ไปหรือเปล่าในชีวิต แล้วการนั่งเครื่องบินไปดูคอนเสิร์ต มันเป็นฝันที่ดูเกินเอื้อมมาก ๆ
สุดท้ายเราลงมือทำได้จริงและทุกสิ่งที่ได้ทำ ได้ประสบพบเจอ มันเกินกว่าฝัน มันเกินความคาดหวังสำหรับแฟนเพลงที่เป็น nobody คนนึง เป็นฝันที่ใช้เงินซื้อหาไม่ได้ จังหวะ โอกาส ความบังเอิญ ความพยายาม ความไม่คาดหวัง ทุกสิ่งหล่อหลอมรวมกันแบบลงตัว ทำให้เรามีเรื่องจะเล่ามากมาย
ถ้าไม่รังเกียจ ไปตามอ่านกันนะคะ ยาวหน่อย อยากเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีของตัวเองด้วยค่ะ ^^v
I'M THE LUCKIEST GIЯL IN THE WOЯLD - JAPAN (2011)
OH MY GOD I'M IN Q ! - JAPAN (2010)
CANCELLED AGAIN - JAPAN (2009)
FIЯST EVEЯ LIVE - SINGAPOЯE (2008)
I ЯEALIZE I'M SO LUCKY - JAPAN (2011)
                      
OH MY GOD I'M IN Q ! - JAPAN (2010)
ปีนี้เป็นปีที่อัลบั้ม Postcards From A Young Man ออกวางขาย และแน่นอนว่าเรายังมีความหวังลึก ๆ ว่าแมนิคส์จะกลับมาเล่นเมืองไทยหลังจากที่โดนพิษการเมืองทำให้คอนเสริ์ตเมื่อปลายปี 2008 ถูกแคนเิซิลอย่างช้ำใจแฟนทั่วประเทศ แต่เมื่อตารางทัวร์ออกแล้ว ไม่มีประเทศไทยเช่นเคย จริง ๆ คงจะง่ายกว่าถ้ารอข่าวจากทางเมืองไทย แต่ในฐานะแฟนคนนึงถึงจะไม่มีประเทศไทย แต่ก็หวังลึก ๆ ว่าจะมีประเทศใกล้เคียงให้ชื่นใจและลุ้นว่าจะได้ไปบ้าง แต่ก็เช่นเคย ที่ไม่มีที่ไหนใกล้เมืองไทย ไปกว่าญี่ปุ่น ... ซึ่งเป็นที่ที่วงดนตรีวงใด ๆ ในโลกก็พากันไปเล่นคอนเสิร์ต
เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก ๆ ที่จะไปดูที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง ความกลัวการโดนแคนเซิ่ลแว้บกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือ เพิ่งไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัวตอนกลางปี การที่จะไปอีกครั้งโดยเวลาห่างกันแค่ 5 เดือน นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กับการไปญี่ปุ่นมาแล้ว 2 ครั้ง ทำให้พอจะประเมินค่าใช้จ่ายได้คร่าว ๆ แต่เพราะมันคือญี่ปุ่น โตเกียวกับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ... แต่ด้วยความอยากดูมาก ๆ มันไดรฟ์ให้เราลงมือทำ ...
หนึ่งในช่วงเวลาที่ยากที่สุดคือ การบอกครอบครัวว่าจะไปญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อไปดูคอนเสิร์ต เค้าจะว่าเรางี่เง่าไหม แต่แม่ไม่ได้ห้ามปรามอะไรแม้แต่น้อยจนเราเองยังแปลกใจ คือกังวลว่าแม่จะว่าเรื่องใช้เงินได้เปลืองมาก ๆ 55 แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย บอกว่าให้ไปแต่จะอยู่จะพักยังไง จะไปกับใคร
บอกได้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตจริง ๆ ที่ต้องไปทำอะไรคนเดียว คือเป็นคนขี้กลัวโดยธรรมชาติ กลัวทั้งผี กลัวทั้งคน ไม่เคยไปไหนหรือทำอะไรยาก ๆ คนเดียว แล้วยิ่งไปต่างประเทศคนเดียว แค่คิดก็ระทึกมิใช่น้อย
ขั้นแรกสุดคือหาตั๋วคอนเสิร์ตให้ได้ซะก่อน เรื่องอื่น ๆ เพราะถ้าหาตั๋วไม่ได้ก็คงเปล่าประโยชน์ ติดต่อ masa เจ้าเก่าช่วยจัดการเรื่องตั๋วให้หน่อย โดยเราหาข้อมูลมาแล้วมาต้องซื้อตั๋วที่ไหน แมนิคส์จะเล่นสองรอบ ที่โตเกียว (2400 ใบ) และ โยโกฮามา (800 ใบ) ตั๋วโตเกียวซื้อได้จากเว็บไซต์ราคาปกติแต่ตั๋วโยโกฮามาหมดอย่างไว แค่เห็นว่าตั๋ว 800 ใบ เราก็คิดว่าอยากดูแบบใกล้ชิดซักครั้งในชีวิต ลองหาจากเว็บมือสอง ใช้กูเกิ้ลช่วยแปลเดามั่วไปเืรื่อย จนเจอคนปล่อยขายที่ราคาอัพขึ้นมาสองเท่า แต่เอาวะ ตั้งใจซะขนาดนี้แล้ว
การซื้อตั๋วก็ยากเย็น เนื่องจากไม่ได้เป็นคนซื้อเองและตั๋วในญี่ปุ่นก็ไม่ได้เอื้ออำนวยให้คนต่างชาติซื้อได้เอง ได้ไหว้วานคนญี่ปุ่นที่งานยุ่งมาก ๆ ให้ช่วยจัดการให้ (เนื่องจากรู้จักเค้าคนเดียว) และการซื้อตั๋วเงื่อนไขสำคัญของเราคือ ต้องซื้อพร้อมกันสองใบ (แต่คนละแหล่ง) เพราะถ้าได้ตั๋วที่เดียวมันไม่คุ้มที่จะบินไปดู โชคดีที่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ซาบซึ้งน้ำใจชาวญี่ปุ่น ^^
ญี่ปุ่นที่เคยไปมาแล้ว 2 รอบ รู้ว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยมาก แต่เป้าหมายสำคัญของทริปนี้คือ เราต้องการประหยัดมาก! จึงเลือกที่พักแบบ Dorm ที่ถูกที่สุด โดยแม่ยกมือค้างคัดค้านให้ไปนอนโรงแรมดีกว่า ไปคนเดียวจะไปนอนกับคนอื่นได้ยังไง ทรัพย์สมบัติจะเก็บยังไง แต่เราก็ยืนยันจะไปนอนที่พักรวม ๆ นั่นแล่ะเพราะมันถูกที่สุดและก็มีเพื่อนนอนด้วย ญี่ปุ่นไม่น่ากลัวหรอก
                      
CANCELLED AGAIN - JAPAN (2009)
                      
FIЯST EVEЯ LIVE - SINGAPOЯE (2008)
James, Nicky, Sean - you know, you have completed a girl life.
Could anyone tell them for me ?
27/12/2008 By moobaa
ตั้งแต่ต้นปี 2008 ที่ผ่านมา ได้ยินข่าวลือที่สร้างความหวังแบบสุด ๆ มาตลอด กับการจะมาร่วมเทศกาลดนตรี 100 Rocks Festival ในกรุงเทพ ของวงสุดโปรดของเราอย่าง Manic Street Preachers กับการมีหวังแบบลม ๆ แล้ง ๆ
คงเป็นความโชคดีที่สุดที่แมนิคส์ ตกลงปลงใจจะมาเล่นที่ไทย (อีกครั้ง) และประเทศใกล้เีคียงอีก 2 คือ สิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับการทัวร์เอเชียเลย (เพราะแมนิคส์ไม่เคยมาทัวร์เอเชียยกเว้นประเทศญี่ปุ่นที่ไปบ่อย ๆ และไทยเมื่อปี 1994)
แมนิคส์คอนเฟิร์มตารางทัีวร์ประมาณ 2 เดือนก่อนการแสดงจริง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้น ที่จุดประกายให้เรา ได้ตามฝันกับการดูแมนิคส์ซักครั้ง หลังจากวาดฝันว่าอยากดูแมนิคส์ซักครั้งซึ่งคงไม่พ้นอังกฤษหรือญี่ปุ่นที่ค่าใช้จ่ายมหาศาล กับคืนวันที่เรารู้ข่าวคอนเฟิมทัวร์ของแมนิคส์ที่สิงคโปร์และฮ่องกง คืนนั้นมันทำให้เราคิดวนเวียนเรื่องนี้ นอนไม่หลับทั้งคืนจริง ๆ เฝ้าคิดเรื่องความเป็นไปได้ที่จะบินไปดูแมนิคส์อีกซักที่นอกจากไทยที่ว่าไปดูแน่นอนอยู่แล้ว ความตั้งใจเริ่มแรกคือ เราอยากดูโชว์เต็ม ๆ ของแมนิคส์ (ที่ไม่แจมในเฟสติวัล) และเมื่อโอกาสมาถึง ถ้าได้ดูมากกว่า 1 รอบคงจะเติมเต็มความฝันของแฟนคนนึงได้มากยิ่งขึ้น
ปัญหาที่หาคำตอบยากคือ การหาเพื่อนไปดู นี่จะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของเรา ถึงจะพูดภาษาอังกฤษระดับสื่อสารได้ แต่กับคนที่ไม่เคยไปไหนคนเดียวอย่างเราก็นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว เราสอบถามเพื่อน ๆ แฟน ๆ แมนิคส์ที่รุ้จักที่คิดว่าจะไปด้วยกันประมาณ 1 อาทิตย์ แต่ไม่มีใครสนใจกับโครงการนี้ เพราะว่าอีก 1 อาทิตย์ให้หลัง แมนิคส์ก็จะมาแสดงที่ไทยแล้ว เลยไม่มีเหตุผลให้เสียเงิน/เวลา ซ้ำซ้อน แต่ด้วยความตั้งใจแต่แรกของเรา เลยต้องหาทางไปให้ได้ เรายังคิดว่าจะไปถึงวันที่แมนิคส์แสดง ดู แล้วเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น ดูท่าตารางจะกระชั้นมากไปซักหน่อย

บัตรราคา 98 เหรียญสิงคโปร์ (ไม่รวมค่าธรรมเนียม 3 เหรียญ) |
ในที่สุดก็ได้เพื่อนเดินทางเป็นพี่สาว ซึ่งจะไม่เข้าร่วมดูคอนเสิร์ตด้วยแต่ก็ถือโอกาสไปพักผ่อน/เที่ยวเล่น ณ ช่วงเวลานั้น เราปลงใจแล้วที่จะเข้าไปดูคอนเสิร์ตคนเดียวในต่างถิ่น (เป็นครั้งแรกที่จะดูคอนเสิร์ตคนเดียว) เราสองคนตกลงที่จะพักในสิงคโปร์ 2 คืน 3 วัน ซึ่งคิดว่าถ้าไปถึงก่อนวันแสดงจริง 1 วัน คงจะดีกว่าเพราะไม่ต้องรีบเผื่อเกิดเหตุการณ์ที่เหนือจะควบคุมไ้ด้เช่น เครื่องบินดีเลย์ หาสถานที่ไม่เจอ หาตั๋วไม่ได้ ฯลฯ กับอาชีพที่ต้องดูแลกิจการเล็ก ๆ เพียงคนเดียวก็ยากเหมือนกันที่จะจัดการอะไร ๆ ให้ลงตัว สุดท้ายทุกอย่างก็อำนวยและ็ผ่านไปด้วยดี เราเตรียมเรื่องพาสปอร์ต จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ผ่านอินเตอร์เน็ต พยายามควบคุมค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ตั๋วเครื่องบินโลคอสจองล่วงหน้านานเกือบสองเดือน (จองช้าไปอาทิตย์เดียวขาดทุนอีกสองพัน) โรงแรมเล็ก ๆ ย่าน Little India ที่เรียกว่าค่อนข้างจอแจ แต่เพราะราคาต่อคืนไม่แพงและเิดินทางได้สะดวก ส่วนตั๋วคอนเสิร์ตไหว้วานให้ลูกค้าในสิงคโปร์ช่วยจัดการให้ (ถ้าซื้อผ่านอินเตอร์เน็ตต้องไปรับเองล่วงหน้า 1 วันก่อนแสดง)
สองอาทิตย์ก่อนการเดินทาง พี่ที่เป็นแฟนแมนิคส์คนนึงอยู่ทางภาคใต้ ได้คุยกันถึงเรื่องงานแมนิคส์ที่ไทยและเราได้บอกไปว่าจะเดินทางไปสิงคโปร์ด้วย และพี่โอ๊คแฟนแมนิคส์นี้ ก็ยินดีจะร่วมไปดูด้วยกัน เนื่องจากอยู่ถึงปัตตานี การมากรุงเทพดูท่าค่าใช้จ่ายจะพอ ๆ กับสิงคโปร์เลยเชียว
เป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ตั้งแต่แรกของเราอยู่แล้ว ที่อยากจะมีโอกาสเจอแมนิคส์ทั้ง 3 คนแบบใกล้ชิดซักครั้ง เราตามอ่านฟอรั่มเมืองนอกถึงเรื่องการที่เหล่าแมนิคส์ทั้ง 3 คน จะโผล่มาหลังเวทีหลังแสดงเสร็จ คงดีไม่น้อยที่เราได้จะพูดคุย, ขอลายเซ็น, ขอถ่ายรูป รวมถึงขอกอด เรื่องนี้เราคุยกับพี่โอ๊คถึงความต้องการของเราและบอกพี่โอ๊คไว้ก่อนถ้าไปดูกับเราต้องทำใจที่จะร่วมตามแมนิคส์ด้วยกัน ซึ่งพี่โอ๊คก็ยินดีที่จะร่วมขบวนการ
พี่โอ๊คส่งอีเมลไปหาโปรดักชั่นที่สิงคโปร์ เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่าเหล่าแมนิคส์จะพักที่ไหน ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วคำตอบที่ได้รับคือไม่มีการเปิดเผยเนื่องด้วยความปลอดภัยของศิลปินและไม่มีข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติม พี่โอ๊คแนะนำให้เราส่งไปบ้าง เราได้ส่งไปสั้น บอกว่าเป็นแฟนแมนิคส์จากเมืองไทย ถามว่าแมนิคส์จะมีการเปิดแจกลายเซ็นที่ใดบ้างหรือไม่ และบอกด้วยว่ามันเป็นโอกาสอันดีที่เราไม่อยากพลาด อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เราได้รับข่าวดีแบบคาดไม่ถึง มีเจ้าหน้าที่คนนึงตอบกลับมาว่าจะไม่มีการแจกลายเซ็นแต่ยินดีที่จะช่วย ถ้าไปถึงสิงคโปร์ให้โทรหาเค้า
ไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้จะเป็นแค่ตัวหนังสือที่ยังไม่มีการยืนยันใด ๆ มันทำให้เรามีความหวังแล้ว 50% กับความหวังที่จะได้เจอเหล่าแมนิคส์ เราปรึกษาเรื่องนี้กับพี่หมี (เป็นพี่ที่อยู่ในแวดวงบันเทิง) โชคดีอีกครั้ง ที่เจ้าหน้าที่ที่ติดต่อกลับมาคนนั้นพี่หมียืนยันว่าเป็นผู้บริหารของโปรดักชั่นเอง และพี่หมีัยังบอกด้วยว่าคุณคนนี้ใจดี และไม่น่าจะหลอกให้ความหวังที่เป็นไปไม่ได้
ก่อนออกเดินทาง เราเตรียมซีดีสุดโปรดที่จะขอลายเซ็น (ถ้ามีโอกาส), ปากกามาร์คเกอร์ (ของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่ามองข้าม), ของที่ระลึกที่จะให้เหล่าแมนิคส์ เป็นผ้าพันคอเล็ก ๆ และพิเศษสำหรับนิกกี้คือ มือตบติดขนนกสีชมพูแปร๋น ซึ่งเราทำไปสองอันสำหรับเราเอง 1 อัน ของใช้ส่วนตัวที่ขาดไม่ได้ คือ อายไลน์เนอร์ อายแชโดว์ มงกุำฎเพชรอันเล็ก ๆ ธงเวลส์ขนาดใหญ่ ขนนก มือตบขนนก และบัตรคอนเสิร์ต
     
23 พฤศจิกายน 2008
เรานัดเจอกับพี่โอ๊คที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนที่สนามบินชางงีตอน 10.30 น. ตลอด 1 ปีที่รู้จักกันมาใน lovemanics.com ได้แต่คุย msn และ มีสองอาทิตย์ให้หลังที่ได้คุยนัดแนะทางโทรศัพท์กันบ้าง พี่โอ๊คเดินทางโดยนั่งรถบัสจากสงขลาไปถึงสิงคโปร์และมารอรับพวกเราีที่สนามบิน พวกเราพากันเดินเล่นและแวะไปเยี่ยมลูกค้าเราที่ย่าน China Town, หาข้าวกิน, เดินเล่น และ เข้าที่พักประมาณบ่ายสอง
เรานั่งทำใจอยู่นานที่จะโทรหาฝรั่งที่ไม่รู้จักกัน - ผู้บริหารโปรดักชั่นคนนั้น ชื่อว่า คุณรอส (ซื้อซิมโทรศัพท์สิงคโปร์เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่หลังจากนั้นพบว่ามีประโยชน์มากราคาไม่แพงด้วย) ตอนที่คุณรอสรับสายเราแนะนำตัวว่าเป็นแฟนแมนิคส์ที่เคยอีเมลมาหาก่อนหน้านี้ คุณรอสน้ำเสียงงง ๆ เล็กน้อย แต่ก็จำได้ว่าจากประเทศไทยใช่ไหม เราจึงบอกความต้องการไป คุณรอสแนะนำว่าให้มาที่สถานที่แสดงในวันพรุ่งนี้ตอนที่แมนิคส์จะซาวด์เช็คเวลาประมาณ 4 โมงเย็น
เรารีบนำข่าวดีนี้ไปบอกพี่โอ๊ค ว่าคุณรอสและเบอร์โทรที่ให้มานั้น มีตัวตนจริงและยังแนะนำให้เราไปตอน 4 โมงเย็นวันพรุ่งนี้ ขบวนการตามแมนิคส์เริ่มมีความหวังขึ้นมาทีละน้อย ๆ
หลังจากนั้นก็ออกมาเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ฆ่าเวลา ไปสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแลนด์มาร์คของสิงคโปร์อยา่ง เมอร์ไลอ้อน, สิงคโปร์ฟลายเออร์, ตึกเอสพลานาด ฯลฯ จนถึงประมาณ 5-6 โมงเย็น เรารู้สึกเหนื่อยมาก ไม่สามารถเดินต่อไหวแล้ว เนื่องจากไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืนจึงขอตัวกลับโรงแรม แต่พี่โอ๊คยังตั้งใจจะไปสำรวจสถานที่แสดงคือ Fort Canning Park ไว้ก่อน ซึ่งวันแสดงจะได้ไม่ต้องร้อนรน วันนั้นฝนตกค่อนข้างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พวกเราจึงแยกกัน เรากลับโรงแรมหาข้าวกิน พี่โอ๊คยังคงเดินเที่ยวไปเรื่อย ๆ
     
24 พฤศจิกายน 2008

Fort Canning Park สถานที่จัดการแสดง |
เป็นเพราะเมื่อวานที่ฝนตกอย่างหนัก ทำให้พี่โอ๊คไม่ได้ไปสำรวจสถานที่ วันนี้พี่โอ๊คเลยดิ่งไปที่ Fort Canning Park ตั้งแต่เที่ยง และก็มีข่าวดีโทรมาบอกเราและพี่สาวที่ยังหนืด ๆ ที่โรงแรมว่า ได้คุยกับแบ็กสเตจพบว่ามีทีมงานที่เป็นสาวชาวไทยอยู่ด้วย ทำให้คุยได้ง่ายขึ้นและมีข้อมูลเกี่ยวกับแมนิคส์แอบกระซิบพวกเราว่าแมนิคส์จะมาซาวด์เช็คตอน 4 โมงเย็นนี้แน่นอน
ตรงนี้เป็นความบังเอิญ+โชคช่วย ที่เมื่อวานฝนตกอย่างหนักทำให้พี่โอ๊คไม่สามารถไปสำรวจสถานที่ วันนี้จึงรีบดิ่งมาตั้งแต่เที่ยงทำให้โชคดีได้เจอกับคุณดิวและได้รับข้อมูลพิเศษหลาย ๆ อย่าง ถ้าเรามาบ่าย ๆ พวกเค้าอาจจะยุ่ง ๆ และไม่อนุญาตให้ใครเข้าแล้วก็ได้
เราและพี่สาวเดินทางไปถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Dhoby Ghaut ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้ที่สุด มีพี่โอ๊คมารอรับอยู่ Fort Canning Park เป็นสนามหญ้าอยู่บนภูเขา ต้องไต่ขึ้นไปที่ความสูงประมาณ 50 เมตรจากถนนปกติ สถานที่ร่มรื่น มีอาคารสวย ๆ เก่าแก่อยู่ทางด้านหลัง พวกเราเตร็ดเตร่อยู่หน้าประตูงานซักพัก ซึ่งขณะนั้นประมาณบ่าย 3 โมง เจ้าหน้าทียังเตรียมงานอย่างขะมักขเม้น
เห็นฝรั่งหน้าตาใจดีถือแก้วเบียร์ยืนสั่งงาน เดาว่าเป็นคุณรอส (ก่อนหน้านี้เราหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณรอสในอินเตอร์เน็ต พอจะจำเค้าลางหน้าได้) จึงรีบเดินเข้าไปสวัสดีและแนะนำตัวว่าเป็นแฟนแมนิคส์ที่อีเมลและโทรหา คุณรอสใจดีอนุญาตให้พวกเรารออยู่ในบริเวณงานได้ และบอกว่าช่วงซาวด์เช็ค แมนิคส์คงจะมีเวลาให้เค้านิดหน่อยให้พวกเราคอยแล้วกัน
พวกเราอุ่นใจมากยิ่งขึ้นที่ได้คุยกับคุณรอสซึ่งเป็นเหมือนบอสใหญ่ของการจัดงานคราวนี้ พี่โอ๊คพาเราทักทายกับคุณดิว สตาฟสาวไทยคนนั้น คุณดิวคุยเก่งและเป็นกันเองกับพวกเรามาก ๆ บอกว่าเค้าไม่ซีเรียสที่พวกเราจะดักรอศิลปิน ถ้าีมีโอกาสก็เชิญตามสบาย เธอจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะ พวกเรานั่งตากแดดอยู่บริเวณด้านหลังเวที ไม่กล้าเดินเกะกะทั่วงาน ซึ่งขณะนั้นสตาฟทั้งเอเชียและฝรั่งก็จัดการกับเครื่องเสียง เฟอร์นิเจอร์ เต๊นท์ขายสินค้า
เจมส์ขณะซาวเช็คที่พี่โอ๊คดอดไปถ่ายมาได้
|
อากาศในสิงคโปร์ ร้อนกว่าบ้านเรามาก ๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน ร้อนทั้งกลางวันและกลางคืน แต่พวกเราก็ไม่ย่อท้อ นั่งรอกลางแดด เราเอาธงเวลส์คลุมหัว พี่โอ๊คกางร่ม นั่งบนพื้นหญ้ากึ่งเปียกกึ่งแห้งกับสนามหญ้าที่เพิ่งรับฝนเมื่อวาน
ประมาณ 4 โมงเย็น มีรถตู้ติดฟิล์มดำเกือบทึบแล่นเข้ามาในงาน และเข้าไปยังเต๊นท์พักศิลปิน พวกเรามั่นใจแล้วว่าต้องเป็นเหล่าแมนิคส์แน่ ๆ เรารีบยืนขึ้นรอ เป็น เจมส์ นิกกี้ และ ฌอนจริง ๆ ด้วยที่ลงมาจากรถ แต่เห็นแค่หลังไว ๆ เพราะรถจอดด้านใน และมีผ้าใบแง้มไว้ไม่มาก เราตะโกนเรียกนิกกี้ นิกกี้สะดุดกึกและหันมานิดนึง ก่อนจะมุดเข้าเต๊นท์ติดแอร์เย็นเฉียบไปทั้งหมด
และแล้วพวกเราก็ได้ัฟังเหล่าแมนิคส์ซาวด์เช็คกัน ในตอนแรกพวกเรายังคงนั่งอยู่ที่เดิม (ทั้ง ๆ ที่อยากจะไปหน้าเวทีใจจะขาด) แต่เพราะการที่คุณรอสอนุญาตให้พวกเราอยู่บริเวณนั้นได้ ก็อภิสิทธิ์มากพอแล้ว แต่พี่โอ๊ค ก็ยังไปแอบถ่ายรูปเจมส์ตอนซ้อมมาได้ อีกประมาณ 5-10 นาที สตาฟได้มาไล่ผู้ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออก ซึ่งก็รวมพวกเราด้วย !!!
ตอนนั้นพวกเราก็งง ๆ เล็กน้อยและได้บอกไปว่าคุณรอสอนุญาตเราให้อยู่ที่นี่ ปากก็เถียง ขาก็ก้าวออก พวกเรา็ยอมออกไปโดยดี โดยที่สตาฟยังมีน้ำใจวิ่งไปถามคุณรอสให้ แต่คำตอบที่ได้รับคือ ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกจากบริเวณงานจริง ๆ

เจมส์ที่มีคุณรอสเป็นแบ็กกราวด์ให้ |
นาทีนั้นแอบงอนคุณรอส และคิดว่าความฝันเรื่องได้เจอแมนิคส์คงจะดับวูบไป เราก็คุยกับพวกสตาฟว่าพวกเรามาจากเมืองไทยและก่อนมาได้ติดต่อกับคุณรอส (เอาอีเมลให้ดูด้วย) พวกเค้าก็เข้าใจ แต่ทำยังไงได้ บอสสั่งมา จริง ๆ บริเวณที่พวกเรานั่งอยู่ตั้งแต่แรกกับตอนหลังที่ถูกไล่ออกมาก็ห่างกันแค่ 20 เมตรเอง แต่มันเหมือนมีเส้นขั้นของคำว่า ได้กับไม่ได้ ตอนนั้นพวกเรา็ก็นั่งฟังแมนิคส์ซาวเช็คไปแล้วก็เม้าท์กับพวกสตาฟไปด้วย สตาฟอีกคนที่ช่วยเหลือพวกเราเป็นอย่างมากคือ เอ็ดดี้ เป็นสามีของคุณดิว เราก็เล่าถึงความบ้าแมนิคส์ให้ฟังแล้วก็หยิบนามบัตรเว็บไซต์ให้ด้วย เอ็ดดี้บอกว่านับถือในความบ้าจริง ๆ อยากจะลองช่วยดูซักตั้ง เอ็ดดี้หายเข้าไปในงาน แล้วอีก 5 นาทีก็โผล่ออกมาพร้อมกับบอกว่า ได้เอานามบัตรให้ผู้จัดการวงไปแล้ว ถ้าแมนิคส์ต้องการพบพวกคุณ เค้าจะเรียกเอง (มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะเนอะ)
อีกความเห็นที่เอ็ดดี้แนะนำพวกเราคือ หลังจากซาวด์เช็คจบ ให้โทรหาคุณรอส และอ้างไปว่าผู้จัดการวงให้พบได้ มันเป็นข้อแนะนำที่เราไม่อยากทำที่สุด เราไม่อยากให้ทุกคนลำบากใจ ไม่สบายใจที่จะโกหกแบบนั้นด้วย เอ็ดดี้ยังสำทับว่าคุณรอสแกไม่รู้หรอก
ประมาณ 5 โมงเย็น เหล่าแมนิคส์ซาวด์เช็คเสร็จเรียบร้อย เอ็ดดี้รีบวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกพวกเราว่าแมนิคส์จะไปในห้านาทีนี้ รีบโทรหาบอสเค้าเร็วเข้า เรายังลังเลไม่กล้าโทร ช่วงเวลานั้นกดดันมาก ๆ เอ็ดดี้ย้ำว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณแล้ว มันขึ้นอยู่กับโทรศัพท์ที่เราจะกดหาคุณรอส พี่โอ๊คบอกว่าฝรั่งไม่รู้จักคำว่าเกรงใจ ได้คือไ้ด้ ไม่ได้คือไม่ได้ ลองซะยังดีกว่าไม่ได้ลอง เจอกันแค่ครั้งเดียวเดี๋ยวพวกเราก็ชิ่งกลับเมืองไทยแล้ว-อันนี้เราพูดเอง (และทุกคนเห็นดีด้วย) เรากดโทรศัพท์หาคุณรอส คิดว่าเค้าอาจจะยุ่ง ๆ หรือคุยกับแมนิคส์ เรารอสายนานพอสมควรจนคิดจะวาง คุณรอสรับสาย เราแจ้งความประสงค์อีกครั้งว่าอยากจะได้ลายเซ็น จริง ๆ เราบอกคุณรอสไปหลายทีมากเรื่องความต้องการที่มาในวันนี้ แต่ทุกครั้งที่คุณรอสรับสายเราก็ต้องพูดเรื่องเดิม ๆ คิดว่าแกคงรำคาญเหมือนกัน หุหุ คุณรอสโผล่มาจากเต๊นท์พักศิลปินด้วยหน้าตายิ้มแย้ม นาทีนั้น เราไม่ได้ฟังเสียงคุณรอสในโทรศัพท์เลย คิดแต่ว่าหน้าอารมณ์ดีขนาดนี้ คงไม่มีปัญหา เราก็เลยตรงดิ่งไปยังคุณรอส ซึ่งยืนอยู่ที่รถที่จอดนอกเต๊นท์

นิกกี้โอบเราด้วยนะ แต่กล้องสูงไปมองไม่เห็น ^^
|
ถ้าคุณเคยคลั่งไคล้ใครมาก ๆ ซักคนหนึ่ง เราว่าคุณต้องเข้าใจช่วงเวลานั้นแน่ ๆ มันกดดัน ตื้นตัน ตื่นเต้น ดีใจ บอกไม่ถูก ตอนนั้นยังไงเราก็ได้เจอแน่นอน เพราะพวกเราดักรออยู่ที่รถเลย เรากับพี่โอ๊คเตรียมแผ่นและปากกามาร์คเกอร์ (เตรียมไปทั้งคู่) ยืนรอพร้อมกับสตาำฟอีกหนึ่งคนที่ปริ๊นภาพมาให้เซ็น เราเตรียมมือตบขนนกที่จะให้นิกกี้ รอ รอ รอ
เหล่าแมนิคส์โผล่ออกมา พวกเราแตกฮือกันไปคนละทาง เราพุ่งตรงไปที่นิกกี้ พี่โอ๊คไปที่เจมส์ เจมส์รีบมาก เซ็นแผ่นให้พี่โอ๊คแล้วหนีขึ้นรถตู้ไปเลย (เจมส์ไม่สบาย) เราทักทายนิกกี้ ให้เซ็นแผ่น พร้อมกับบอกว่า "ฉันรอเวลานี้มานานมาก" นิกกี้ตอบ "จริงเหรอ?" คงเข้าใจว่าเรานั่งรอป้าแกนานแน่ ๆ ไม่ใช่นะ เราจะหมายถึงว่ารอมา 12 ปีต่างหาก เราเอามือตบขนนกให้นิกกี้ ขอนิกกี้กอด ได้สิ เราตบหลังนิกกี้เบา ๆ แล้วจบด้วยการถ่ายรูปคู่ พี่โอ๊คจัดการเป็นช่างภาพทั้งหมด เราวนไปหาฌอน เรารู้สึกความเป็นกันเองกับฌอนมาก อาจจะเป็นเพราะฌอนสูงพอ ๆ กับเรา เวลายืนตรงหน้าเลยรู้สึกไม่เป็นคนแปลกหน้า ฌอนตัวเล็กกว่าที่เราคิดไว้มาก เราสัมผัสมือฌอนนิดนึงตอนหยิบปากกา เราถ่ายรูปกับฌอน เอามือแตะบ่าฌอน ยิ้มสุดชีวิต
รู้ตัวอีกทีก็เจมส์อยู่บนรถซะแล้ว ตอนนั้นเราก็สองจิตสองใจจะวิ่งอ้อมรถไปให้เจมส์เซ็นซีดีซักหน่อยจะดีไหม แต่หน้ามันบางอีกแล้ว เราได้แต่โบกมือหยอย ๆ ส่งเจมส์ที่อยู่บนรถ เจมส์โบกมือตอบผ่านฟิล์มดำ แล้วรถก็ค่อย ๆ แล่นออกไป เราพลอยมาโทษตัวเองว่าทำไมไม่ขอจับมือ หรือ ขอกอดฌอน (จริง ๆ อยากทำกับทุกคน) เสียดายกับโอกาสและความหน้าบางของตัวเอง (เรื่องเชคแฮนด์นี่มันเบสิคมาก ๆ สำหรับฝรั่ง)
และก็ผ่านช่วงเวลาอันกดดันไปอย่างราบรื่น พวกเราพากันออกไปพักผ่อน นั่งเม้าท์กันเรื่องห้วงความสุขที่เพิ่งผ่านไป พี่โอ๊คไปหาข้าวกิน ส่วนเราแค่น้ำกระป๋องเดียว เพราะเวลาตื่นเต้นทีไร ท้องไส้ปั่นป่วน พวกเรากลับมาถึงหน้างานประมาณ 6 โมงกว่า ๆ ยืนเตร็ดเตร่ เห็นแถวเริ่มตั้งมีคนแค่ 2-3 คน มีทีวีสิงคโปร์มาสัมภาษณ์นิดหน่อย (ตอบได้ไม่ดีเลย คงตัดออกหมด -*-) แล้วก็เริ่มไปต่อแถวกะเค้ามั่ง กลายเป็นคิวที่ 20 กว่า ๆ ได้ ตอนนั้นคิดว่าซวยเสียแล้ว อดได้พื้นที่หน้าเวทีแน่ ๆ แฟน ๆ ที่มาดู มาในบรรยากาศสบาย ๆ มาก บางคนมีตระกร้าปิคนิค ใส่กางเกงขาสั้น มีผ้าเตรียมปูบนสนามหญ้า เท่าที่ลองมองด้วยสายตา มีเพียงธงเวลส์ไม่กี่ผืนและไม่มีใครแต่งตัวแนวแมนิคส์เลยแม้แต่คนเดียว เท่าที่เห็นโดยมากจะเป็นผู้ชายใส่เสื้อยืดลายแมนิคส์หรือธงเวลส์บ้าง แต่ไม่พบชุดลายเสือดาว อายไลน์เนอร์ ขนนก มงกุฎ นั่นทำให้เรากลายเป็นเหมือนตัวประหลาดในงานแมนิคส์เลยทีเดียวที่มีทุกอย่างอยู่ในตัว (พี่โอ๊คยังใส่เสื้อวง Kasabian เลย)

ลายเซ็น Wire กับ Sean ถ้าไม่ได้เห็นเองกับมือคงโกรธ
เด็กที่ไหนมาเขียนปกซีดีเล่น
|
ได้เวลาประตูเปิดประมาณ 1 ทุ่ม ผู้คนค่อย ๆ ทยอยเข้าสนาม ไม่มีการตรวจกระเป๋าแม้แต่น้อย กล้องถ่ายรูป กระเป๋าใบใหญ่-น้อย ตระกร้าปิคนิค ฯลฯ ทุกอย่างสามารถผ่านเข้าไปได้ ผู้คนมีวินัยมาก บรรยากาศไม่เหมือนมาดูคอนเสิร์ตเลย ไม่มีใครแตกแถวซักคน ทุกคนค่อย ๆ เดินไปจับจองที่นั่งบนเนินหญ้า บ้างก็ยืนห่าง ๆ จากเวที เป็นโชคดีของพวกเราอีกแล้วที่เข้าไปก็เจอที่ว่างหน้าเวทีตรงนิกกี้พอดี ซึ่งเป็นที่ที่ตั้งใจจับจองแต่ต้น รอ จนนานสองนานพื้นที่แถวสองก็ยังไม่เต็ม สงสัยจัง คนที่นี่มีวัฒนธรรมการดูคอนเสิร์ตยังไงนี่ เราจัดแจงผูกธงเวลส์ขนาดใหญ่กับแผงกั้นหน้าเวที ซักพักมีคนไทยสองคนมาทักพวกเรา เป็นพี่สองคนที่มาทิ้งข้อความในฟอรั่มว่าจะไปดูแมนิคส์ที่สิงคโปร์เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้นัดกัน จนมาเจอกันที่นี่ (ด้วยความบังเอิญ มาเครื่องไปกลับไฟลท์เดียวกันเป๊ะ แถมโรงแรมที่พักก็ห่างกัน 3 หลัง) โลกคงกลมมากถึงมากที่สุด ที่พี่สองคนนั้น, พี่กริสกับพี่เจน, เป็นพี่ของเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่เราได้ยินชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเรียนว่าบ้าแมนิคส์มาก ๆ ได้เจอตัวเป็น ๆ แบบคาดไม่ถึง
จนเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ก็ถึงเวลาของวงเปิดเป็นวงเด็กหนุ่ม ๆ สิงคโปร์ เล่นแนวร็อค ๆ ขอโทษที่จำชื่อวงไม่ได้เลย ประมาณ 5-6 เพลง หลังจากนั้นก็มีการแจกอัลบั้ม Send Away The Tigers พร้อมลายเซ็นแมนิคส์ โดยการโยนให้ฝูงชน (แย่งกันเอง)

So brilliant |
เกือบ 3 ทุ่ม ก็เป็นเวลาที่ทุกคนรอคอย นักข่าวคนญี่ปุ่นคนนึงที่เจอตอนเย็นเข้ามาจับแขนและทักทายเราว่าถึงเวลาที่คุณรอคอยแล้วนะ แน่นอน ! เรารอเวลานี้มา 12 ปี ความฝันจะเป็นความจริงในไม่กี่นาทีนี้
แมนิคส์ออกมาพร้อมกับเพลง Motorcycle Emptiness เพลงสุดฮิตจากอัลบั้มแรกจนถึงทุกวันนี้ (เกือบ 20 ปีแล้วนะ) คนทั้งโดด ทั้งเต้น ทั้งร้องแบบที่เจมส์ไม่ต้องร้องเลยก็ยังได้ เราและพี่โอ๊คขะมักเขม้นอัดวีดีโอจากกล้องถ่ายรูป ยอมรับว่ามันอึดอัดชะมัดกับการที่ต้องละสายตาจากเวทีมาจ้องจอ LCD อันเล็ก ๆ แต่พี่โอ๊คสบายมาก ผ่านโลกมาเยอะ สถานการณ์แค่นี้กดดันพี่แกไม่ได้ สุดท้ายพี่โอ๊คอัดมาได้ 10 เพลงจนแบตหมดเกลี้ยงทั้งสองกล้อง (กล้องเราแบตหมดตั้งแต่ 3 เพลงแรก)
เพลงเก่าและเพลงใหม่ ถูกส่งออกมาสลับกันอย่างไม่ขัดเขิน เพลงฮิต ๆ ถูกนำมาเล่นแบบคาดเดาได้ เพลงที่เราแปลกใจคงจะเป็น Penny Royalty ที่เป็น cover version จาก Nirvana คือ นึกไม่ถึงว่าจะเอา B-sides มาเล่น เล่นไปซักพัก ยังงงว่าคือเพลงอะไรจนหันไปถามพี่กริส -*-
บรรยากาศในคอนเสิร์ตคึกคักกว่าที่คิดไว้ตอนแรก ถึงคนจะเยอะ แต่ก็ไม่เบียด ไม่มีใครเบียดหรือกระแทกกันเลย ผู้ีคนยืนดู ร้อง เต้น กันแบบสบาย ๆ จะมีบ้างพวกคนเสียมารยาท (ที่เห็นจะเป็นฝรั่ง) ตะโกนใส่บนเวที กับคำถาม/แซวเหล่าแมนิคส์ มีตะโกนถามนิกกี้ว่าทำไมไม่มีธงเวลส์ (หรือธงคิวบา) เหมือนเคย ๆ นิกกี้ตอบว่าอะไรไม่แน่ใจ ไม่กล้าคอนเฟิม จริง ๆ นิกกี้คงตั้งใจจะไม่ผูกธงเวลส์ไว้เหมือนเคย มีคนส่งธงเวลส์ขนาดใหญ่ผ่านไปให้บนเวที แต่นิกกี้ก็ไม่ได้จัดการอะไรกับมัน แต่เอาธงของตัวเองที่เตรียมมา (แต่ไม่ได้ผูก) มาพาดบ่า ซักพักมันก็หลุดหล่นไป
และก็ถึงธรรมเนียมปฎิบัติของแมนิคส์ที่ปล่อยให้เพื่อนสองคน (และแบ็คอัพ) ไปพักผ่อน แต่เจมส์ยังคงแสดงต่อกับกีต้าร์อคูสติก ตามเซทลิสจะมีแค่หนึ่งเพลง แต่เจมส์แถมอีก 1 เพลงคือ The Everlasting (พิเศษสำหรับสิงคโปร์ เพราะที่ฮ่องกงจะไม่มีเพลงนี้)
เสียงเจมส์ยังคงใสกังวานเหมือนในอัลบั้มชุดแรก ๆ แต่ที่สังเกตุได้ในการแสดงสดระยะหลัง ๆ เจมส์มักจะเลี่ยงไม่ร้องท่อนเสียงสูงมาก ๆ เช่น La Trisstesse Durera หรือ ท่อนเื้อื้อนใน Little Baby Nothing
Little Baby Nothing เป็นเพลงโปรดที่เราคาดหวังว่าจะได้ดู และก็สมใจ เพลงนี้เราแหกปากร้องแบบไม่เกรงใจคนข้าง ๆ มือตบขนนกก็เป็นอุปกรณ์ใช้แทนการตบมือ บางทีก็จิ้มโดนหัวคนข้างหลัง (พี่เจน -- ขอโทษค้า) จังหวะฮุกจิ้มไปที่นิกกี้บ้าง นิกกี้จิ้มเบสตอบกลับมา (ตู่เอาเองว่ามาทางเรา)

พี่โอ๊คที่ยืนอยู่เฉย ๆ ก็ได้เซทลิสมาครอบครอง |
เพลงสุดท้ายจบลงอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปเร็วมาก นี่แหล่ะนะที่เค้าว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะสั้น ทุกครั้งที่เราดูคอนเสิร์ต เราจะง่วงหงาวหาวนอน (เลยเวลานอนของเด็กเรียน) แม้แต่ยืนหน้าเวทีเราก็มักจะหาวใส่นักร้องแต่ไม่ใช่ครั้งนี้ เราครวญเพลงไปพร้อมกับเจมส์เกือบทุก ๆ เพลง ทุก ๆ ท่อน และเวลาแห่งความสุขก็จบลงตอนเกือบสี่ทุ่มกับเพลงสุดท้ายอย่าง If You Tolerate This Your Children Will Be Next ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ไต่อันดับ 1 UK Chart แต่เราว่ามันจะทำให้คนดูพีคกว่านี้ถ้าแมนิคส์จบด้วยเพลงชนชั้นกรรมาชีพ อันดับ 2 UK Chart อย่าง A Design For Life
พอเพลงสุดท้ายเสร็จสิ้น เหล่าแมนิคส์ทั้งสามปลดเครื่องดนตรีออก ทั้งเจมส์ นิกกี้ ฌอน ชูนิ้วโป้งให้คนดู เหมือนเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าพวกนายสุดยอดมาก เราว่ามันคงเป็นโชว์ที่สนุกสำหรับพวกเขาจริง ๆ เพราะกระทั่งคนที่ไม่ค่อยแสดงออกอย่า่งฌอนก็ยังชูนิ้วโป้งให้คนดูด้วยแบบไม่ได้นัดหมาย
แฟนเพลงตาดำ ตาฟ้า ตาพร่า ต่างร้องเรียกแมนิคส์หลังจากคอนเสิร์ตจบ ไม่มีอังกอร์ แฟนเพลงต่างตะโกนขอร้องการ์ดให้ช่วยหยิบเซทลิสให้หน่อย เราถึงแม้ยืนอยู่หน้าเวทีแต่ก็ไม่หวังว่าจะได้ เพราะทุกคนตะโกนกันสุดชีวิตมาก การ์ดที่นี่ใจดี ไม่ีมีแสดงท่าโหด ๆ เลยซักครั้ง เซทลิสมีหลายใบ (ก็ไม่นึกว่าจะเยอะขนาดนั้น) ข้าง ๆ พี่โอ๊คมีสาวสิงคโปร์ตะโกนร้องขอ การ์ดหยิบเซทลิสเดินมาให้พี่โอ๊คที่ยืนทำหน้าเฉย ๆ ซะงั้น
พอได้เซทลิสพวกเราก็ปรี่ไปหลังเวที เพราะถ้าเป็นที่อังกฤษมีโอกาสสูงที่ เหล่าแมนิคส์จะออกมาทักทายแฟนหลังเวที บริเวณนั้นมีแฟน ๆ ทั้งหัวดำ หัวทอง ยืนรอกันประมาณ 30 คน เจอคุณรอสอีกครั้ง เราขอบคุณสำหรับทุกสิ่งอย่าง เรากดโทรศัพท์หาเอ็ดดี้ (เราเพิ่งรู้ก่อนหน้านี้แปปเดียวว่าเอ็ดดี้เป็นคนขับให้แมนิคส์) เรียกเอ็ดดี้ออกมาพูดคุยและถามความเป็นไปได้ที่แมนิคส์จะออกมา แต่คำตอบคือ ทุกคนกำลังจะไปและคงไม่ได้ออกมา สุดท้ายเอ็ดดี้ต้องรีบเข้าเต๊นท์และขับรถออกไปพร้อมกับเหล่าแมนิคส์อย่างรวดเร็ว พวกเรายืนรอส่งจนรถลับตาออกไป จึงทยอยเดินทางกันกลับที่พัก อยากจะตามไปที่แมนิคส์พักที่เซนโตซ่าใจจะขาด แต่ที่นั่นเป็นเกาะ (ไฮโซ) ซึ่งเราไม่รู้เส้นทางและรถไฟจะหมดตอนห้าทุ่มกว่า แผนตามโรงแรมเลยล้มเลิกตั้งแต่ยังไม่เป็นวุ้น
     
25 พฤศจิกายน 2008
เราตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว โทรหาเอ็ดดี้ อยากจะรู้ว่าวันนี้แมนิคส์จะไปไหน อยากจะตามล่าลายเซ็นเจมส์ที่ขาดไป คำตอบที่ได้รับคือ ตอนนี้พวกเค้าอยู่ที่สนามบินแล้ว เครื่องจะออกในอีก 5 นาที (จริง ๆ เมื่อวานเอ็ดดี้ก็บอกแล้วแต่เราดันเข้าใจผิดคิดว่าตอนกลางคืน) ทั้งคณะแมนิคส์และโปรดักชัน จะต้องไปจัดการแสดงที่ฮ่องกงในวันที่ 26
วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในสิงคโปร์ เรากับพี่โอ๊คเลยไปเดินเล่นที่ร้านซีดี พี่โอ๊คได้แผ่นราคาถูกมามากมาย ส่วนเราไม่ได้ฟังเพลงหลากหลายมากไม่รู้จะซื้ออะไร สอยแผ่นแมนิคส์กับคาดิกั้นราคาไม่แพงมาเป็นที่ระลึก 4 แผ่น
พวกเราอยู่ที่สิงคโปร์แบบไม่ได้รับรู้ข่าวสารที่เมืองไทยเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เหมือนกันแต่ไม่ได้สนใจจะอ่าน
ช่วงเย็นเรา พี่สาว และพี่โอ๊ค แยกทางกันกลับ พี่โอ๊คกลับรถทัวร์เหมือนเดิม ส่วนเราได้ไปเจอพี่กริสและพี่เจนที่สนามบิน ทั้งคู่ชวนให้กลับรถด้วยกันเพื่อเข้าเมืองเมือถึงสุวรรณภูมิจะได้ไม่ต้องยืนโบกแท็กซี่ในสนามบิน
ประมาณ 4 ทุ่มที่เครื่องบินแตะรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ ทุกอย่างยังดูเหมือนปกติ เราเดินเข้าอาคารสังเกตุเห็นพนักงานสายการบินบ้างก็นั่งพื้น บ้างก็ยืน แต่ก็ยังไม่เอะใจ จนเมื่อออกมาทางอาคารขาเข้าแล้ว ต้องตกใจกับมหกรรมประท้วง เสื้อเหลืองและมือตบเข้ายึดพื้นที่สนามบิน เจ้าหน้าที่สนามบินเิดินมาบอกพวกเราที่กำลังหาทางออกว่าตอนนี้โดนยึดไว้หมดแล้ว เพื่อความปลอดภัยอย่าออกจากอาคาร ไม่น่าเชื่อ ไม่อยู่เมืองไทย 3 วัน สนามบินถูกยึดเสียแล้ว มองออกไปข้างนอก ถนนถูกปิด ไม่มีรถเข้า-ออก ผู้โดยสารตกค้าง มีเพียงคนที่จอดรถไว้จึงสามารถจะออกไปได้อย่างทุลักทุเล
ต่างคนต่างโทรเช็คข่าวการปิดสนามบิน เส้นทางการออก พอได้ขึ้นรถก็ขับออกไปแบบยังไม่รู้ชะตากรรม (ว่าปิดถนนตรงไหนบ้าง) มีกลุ่มผู้ประท้วงปิดถนนบ้างเป็นระยะ และทุกคนก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
ตอนนั้นไม่ไ้ด้คิดถึงเรื่องความรุนแรง ยืดเยื้อของการปิดสนามบิน วันถัดมา เรายังมีหวังว่าแมนิคส์จะมาเล่น เราพยายามโทรหาเอ็ดดี้ในฮ่องกงแต่เค้าไม่ได้รับสาย น่าเสียดายแทนแฟน ๆ ชาวไทยที่ท้ายที่สุดแมนิคส์ไม่สามารถเดินทางมาเปิดการแสดงได้ วงต่างประเทศทุกวงที่จะเล่นในงาน 100 Rocks ก็ไม่สามารถเดินทางมาได้ ทำให้งานโดนยกเลิก ยับเยินกันไปทุกฝ่าย เสียใจกับแฟนเพลงแมนิคส์ชาวไทยจริง ๆ ที่โอกาสที่อยู่แค่เอื้อมแต่ดันเอื้อมไม่ถึง คงไม่ต้องรอถึงอีก 14 ปี
     

เราและพี่โอ๊ค อาจจะเป็นแฟนแมนิคส์ที่โชคดีที่สุดในประเทศ กับความบังเอิญ ความโชคดี ความพยายาม ความอดทน การวางแผนที่ดี ที่บวกลบคูณหารกันแล้วสิ่งที่แฟนเพลงคนนึงพึงจะได้รับจากวงดนตรีวงหนึ่ง จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งเต็ม 100% กับความฝันของเราที่จะได้โบกธงเวลส์ในคอนเสิร์ตแมนิคส์ ความฝันที่จะได้เจอแมนิคส์แบบใกล้ชิด ได้กอด ได้ลายเซ็น ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็ได้เติมเต็มชีวิตเราแล้ว
ท้ายสุดพวกเราสองคน ยังมีโอกาสได้เล่าประสบการณ์ที่น่าประทับใจลงในหนังสือ Music Express ซึ่งเป็นหนังสือที่เป็นจุดเริ่มต้นในการตามแมนิคส์ของเราเมื่อ 12 ปีก่อนอีกด้วย
อยากขอบคุณ
-
พี่โอ๊ค - พี่ร่วมทัวร์ ในช่วงเวลากดดันที่สุด การมีเพื่อนที่เข้าใจในสถานการณ์ ธรรมชาติของวงดนตรีและแฟนเพลงผู้บ้าคลั่ง ช่วยร่วมคิด ทำให้ทุกอย่างผ่่านลุล่วงไปด้วยดี
-
พี่สาว - ที่ทำให้ทัวร์สิงคโปร์ของเราสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
- พี่หมี - ที่ปรึกษาด้านข้อมูลก่อนเดินทาง
-
Khun Ross, Eaddy, P'Due and staffs at L A M C Production - for everything you help out, we are so much appreciated.
- บก.ทัช Music Express - สำหรับพื้นที่เล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่
     
ขอบคุณเครดิตภาพจากพี่โอ๊ค
|